10 ยารักษาโรคปลาคาร์ป ยาแบบไหน ใช้รักษาอาการตรงจุด?

ในปัจจุบัน การเลี้ยงปลาคาร์ปได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ปลาคาร์ปไม่เพียงแต่มีสีสันสดใสสะดุดตา ยังมีหลากหลายสายพันธุ์ให้เลือกตามความชอบของผู้เลี้ยง แต่ละสายพันธุ์ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งลวดลายและสีสันที่แตกต่าง มูลค่าของปลาคาร์ปบางตัวนั้นสูงจนสะท้อนความสวยงามของมันได้อย่างลงตัว

อย่างไรก็ตาม เมื่อปลาคาร์ปที่เรารักเกิดอาการป่วยขึ้นมา ย่อมทำให้เจ้าของรู้สึกกังวลไม่น้อย เพราะโรคในปลาคาร์ปมีหลายชนิด และการเลือกใช้ยาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยรักษาอาการป่วยได้อย่างตรงจุด วันนี้ Koikoito ได้รวบรวมคำแนะนำเกี่ยวกับ “10 ยารักษาโรคสำหรับปลาคาร์ป” เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้เลี้ยงทุกท่านดูแลปลาคาร์ปของตนเองให้แข็งแรง และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคในระยะยาว มาติดตามกันเลย!

ในการใส่ยาควรปรึกษาสัตวแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อน เพื่อลดความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อตัวปลา ไม่ว่าจะเป็น การให้ยาเกินขนาด การให้ยาโดยตรง ซึ่งจะทำให้ปลาตัวคด ช็อค และอาจทำให้ตายได้


ฟอร์มาลิน (Formalin)

ฟอร์มาลิน (Formalin): เมื่อพูดถึง “ฟอร์มาลิน” หลายคนอาจรู้สึกหวาดกลัวเพราะชื่อเสียงที่มักถูกเชื่อมโยงกับอันตราย แต่ในความเป็นจริง ฟอร์มาลินถือเป็นยาสามัญประจำตู้ของผู้เลี้ยงปลาคาร์ปหลายคน เนื่องจากเป็นสารเคมีที่มีประโยชน์ในการกำจัดสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เช่น โปรโตซัว และ ปรสิต ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ ที่พบในปลาคาร์ป เช่น:

• โรคปรสิตผิวหนัง

• โรคจุดขาว

• เห็บปลา

• โรคตกเลือดตามซอกเกล็ด

ฟอร์มาลินสามารถใช้รักษาโรคเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

วิธีใช้ฟอร์มาลินอย่างปลอดภัย

1. ปรับสัดส่วนการใช้ให้เหมาะสม:

• ความเข้มข้นของฟอร์มาลินที่ใช้จะขึ้นอยู่กับประเภทของโรค

• ควรชั่งตวงวัดปริมาณอย่างแม่นยำ โดยใช้เครื่องมือที่เชื่อถือได้

2. ข้อควรระวัง:

• ใช้ใน ความเข้มข้นต่ำมาก เท่านั้น เพื่อลดผลกระทบต่อปลา

• ควรใช้ฟอร์มาลินในช่วงเวลาที่มีแสงแดด เพราะแสงแดดช่วยลดความเป็นพิษของฟอร์มาลิน

• ห้ามใช้ ฟอร์มาลินร่วมกับด่างทับทิม (Potassium Permanganate) เด็ดขาด เพราะอาจเกิดปฏิกิริยาที่เป็นอันตรายต่อปลา

3. การเก็บรักษา:

• เก็บฟอร์มาลินในภาชนะที่ทึบแสง

• วางไว้ในที่เย็นและมีอากาศถ่ายเทสะดวก

• หลีกเลี่ยงการเก็บในบริเวณที่โดนแสงแดดจัด

4. ศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนใช้:

การใช้ฟอร์มาลินจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด หากไม่มั่นใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของปลา

ฟอร์มาลินอาจดูน่ากลัวในตอนแรก แต่หากใช้อย่างเหมาะสมและอยู่ในข้อจำกัดที่ถูกต้อง มันสามารถเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันและรักษาโรคต่าง ๆ ของปลาคาร์ปได้อย่างดีเยี่ยม

อัตราส่วนที่แนะนำ : 40 (ml, g) ต่อปริมาตรน้ำ 1 (ลูกบาศก์เมตร, ตัน)

ข้อควรระวัง : อย่าลืมสวมถุงมือและปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยทุกครั้งที่ใช้งาน!


เอนโรฟลอคซาซิน (Enrofloxacin)

เอนโรฟลอคซาซิน (Enrofloxacin) เป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาและยับยั้งเชื้อแบคทีเรียเป็นสาเหตุที่ทำให้ปลามีอาการตัวแดง หางเปื่อย ตัวเปื่อย ครีบหุบ เกล็ดพอง มีเส้นเลือดตามตัวหรือมีแบคทีเรียอื่น ๆ อยู่ในตัว สามารถใช้ยาชนิดนี้รักษาได้ ใช้กำจัดแบคทีเรียชนิดแกรมบวก (Gram-positive bacteria) และเชื้อแบคทีเรียชนิดแกรมลบ (Gram-negative bacteria) เป็นยาที่ออกฤทธิ์ได้ดี โดยออกฤทธิ์ยับยั้ง DNA-gyrase ดูดซึมเร็ว มีความปลอดภัย สะดวกต่อการใช้ใช้รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่ไวต่อยา Enrofloxacin ในระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบสืบพันธุ์ ผู้เลี้ยงหลายๆท่านก็รู้จักกันดีมีการใช้อย่างแพร่หลายทั้งในฟาร์มปลาและฟาร์มกุ้ง สามารถใช้อย่างต่อเนื่องทุกวันจนกว่าอาการป่วยของปลาจะดีขึ้นได้ ไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างในตัวปลา สามารถใช้ผสมกับน้ำ หรือคลุกผสมกับอาหารให้ปลาคาร์ปรับประทานได้

อัตราส่วนที่แนะนำ : 30 (ml, g) ต่อปริมาตรน้ำ 1 (ลูกบาศก์เมตร, ตัน)

ข้อควรระวัง : ห้ามสูดดม ห้ามสัมผัสดวงตาและผิวหนังโดยตรง


แอนตี้แบค (Anti Bac)

แอนตี้แบค (Anti Bac) เป็นยาที่ใช้รักษาอาการติดเชื้อจากแบคทีเรีย ตั้งแต่ขั้นเล็กน้อยไปจนถึงขั้นรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นแผลอักเสบเหงือกอักเสบ ลำตัวเป็นขุย ติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร ตกเลือด หรืออาการภายนอกต่าง ๆ สามารถฆ่าเชื้อและยับยั้งการเจริญเติบโตแบคทีเรียได้อย่างดีและรวดเร็ว รวมถึงโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากแบคทีเรียอีกด้วย มีฤทธิ์ในวงกว้างฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ทั้งแกรมบวกและแกรมลบคล้าย ๆ กับเอนโรฟลอคซาซิน ส่วนใหญ่ผู้เลี้ยงและเจ้าของฟาร์มต่าง ๆ นิยมนำ แอนตี้แบค (Anti Bac) มาใช้ในการผสมน้ำเพื่อกักโรคปลาก่อนลงบ่อ หรือ ส่งปลาต่อไปยังสถานที่ต่าง ๆ เป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันโรคและรักษาสุขภาพปลาคาร์ป ทำให้ปลาปลอดภัยต่อแบคทีเรียต่าง ๆ ที่ติดตามตัวมา และยังสามารถใช้ผสมกับอาหารเพื่อให้ปลากินติดต่อกันได้ทุกวันจนกว่าจะหายจากอาการป่วยได้อีกด้วย

อัตราส่วนที่แนะนำ : 10 g ต่อปริมาตรน้ำ 1 (ลูกบาศก์เมตร, ตัน)

ข้อควรระวัง : เก็บอย่างมิดชิด หลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะอาจจะทำให้ยาเสื่อมสภาพได้

คำแนะนำ : ควรปิด UV ตลอดการรักษา


ทิปกิน (Tipkin)

ทิปกิน (Tipkin) เป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้ในการรักษาอาการป่วยที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียได้อย่างครอบคลุม (Broad Spectrum) ตัวยาเป็นสีใสไม่มีสี สำหรับปลาที่ติดเชื้ออย่างรุนแรงก็สามารถใช้ได้ ออกฤทธิ์อย่างสมดุล ไม่ส่งผลข้างเคียงแก่ปลา ไม่ว่าจะมีแผลเปื่อย มีหนอง พุพอง แผลอักเสบอย่างรุนแรง มีเส้นเลือดขึ้นตามตัว ก็สามารถใช้ยาชนิดนี้ฉีดเพื่อรักษาได้ ฉีดเข้าที่กล้ามเนื้อของปลา บริเวณครีบอก สามารถฉีดได้วันเว้นวันจนกว่าปลาจะอาการดีขึ้น แต่ไม่ควรเกิน 2 สัปดาห์

ข้อควรระวัง : ไม่ควรฉีดติดต่อกันเกิน 2 สัปดาห์


ด่างทับทิม (Potassium Permanganate)

ด่างทับทิม (Potassium Permanganate) ชื่อนี้รู้จักกันดี เป็นสารเคมีสีม่วงเข้ม หาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาทั่วไป นิยมใช้กันในหลากหลายวงการ เพราะมีสรรพคุณในการต้านเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย สามารถใช้ล้างทำความสะอาดตู้ปลา บ่อปลา อุปกรณ์การเลี้ยงปลา และกำจัดแบคทีเรีย ปรสิต ในตู้ปลา ด้วยการใส่ด่างทับทิมลงไปในน้ำ แล้วแช่ทิ้งไว้ 1 คืน หรือจะแก้อาการป่วยของปลาคาร์ปที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ไม่ว่าจะเป็นโรคเห็บปลา ปลาตัวแดง ปลานอนก้นบ่อ รักษาแผลในตัวปลา ก็สามารถใช้ด่างทับทิมในการรักษาได้ โดยการใช้งานจะต้องใช้กับความเข้มข้น 2 – 4 ppm เพื่อฆ่าเชื้อโรคต่างๆ

อัตราส่วนที่แนะนำ : 2 g ต่อปริมาตรน้ำ 1 (ลูกบาศก์เมตร, ตัน)

ข้อควรระวัง : ระวังการใช้ในปริมาณสูงเพราะอาจทำให้ปลาเป็นแผลไหม้


เกลือสมุทร (Sea Salt)

เกลือสมุทร หรือ เกลือทะเล (Sea Salt) เป็นยาสามัญประจำตู้อีกชนิดหนึ่งของผู้เลี้ยงปลาคาร์ปและปลาสวยงาม สรรพคุณไม่ได้มีแค่ความเค็มเท่านั้น แต่ยังมีระโยชน์ต่อปลาได้อีก เกลือจะช่วยทำให้ปลาคาร์ปของเราปรับสมดุลระหว่างภายในตัวได้ง่ายขึ้น เกลือจะเข้าไปช่วยลดแรงดันของน้ำที่เข้าไปอยู่ในตัวปลา ทำให้ปลามีพลังงานไปใช้ต่อสู้กับเชื้อโรค หรือ ช่วยลดความเครียดของปลา รวมไปถึงกำจัดปรสิตภายนอก ฆ่าเชื้อโรคบางชนิด และยังกระตุ้นให้ปลา สร้างเมือก การใช้เกลือกับปลา สามารถใส่ได้ในหลายขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ปลาป่วย เปลี่ยนน้ำใหม่ ย้ายปลา และในเวลาที่ปลาปกติจะเป็นการป้องกันปรสิต ซึ่งเกลือสมุทรมีประโยชน์ทั้งแบบ รักษาโรค และ ป้องกันโรค ในเวลาเดียวกัน

อัตราส่วนที่แนะนำ : ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่จะรักษา ตั้งแต่ 1-7 kg ต่อปริมาตรน้ำ 1 (ลูกบาศก์เมตร, ตัน)

ข้อควรระวัง : ระวังไม่ใช้ในปริมาณสูงเกินไปเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงความดันออสโมซิสของปลา และเกลือที่ไม่ควรมีสารไอโอดีนเติมเสริมเข้าไป


ไซคลอสเปรย์ (Cyclo Spray)

ไซคลอสเปรย์ (Cyclo Spray) เป็นสเปรย์สำหรับพ่นรักษาบาดแผลภายนอก ป้องกันและรักษาอาการติดเชื้อของบาดแผลต่างๆ มีส่วนประกอบด้วยตัวยา คลอเตตร้าไซคลิน และ ไฮโดรคลอไรด์ ไม่ว่าจะเป็น แผลสด แผลเปื่อย แผลติดเชื้อ แผลอักเสบ เป็นหนอง และแผลผ่าตัด ควรทำความสะอาดแผลให้เรียบร้อยก่อน ลอกคราบเลือด คราบน้ำเหลือง และเศษเนื้อที่ตายออก จากนั้นฉีดพ่นให้ทั่วบริเวณบาดแผลที่ต้องการรักษาได้เลย เพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์รักษาบาดแผลที่ติดเชื้อได้ดี ปกติแล้วยาชนิดนี้ส่วนใหญ่ผู้เลี้ยงจะใช้กับสัตว์ใหญ่ แต่กับปลาคาร์ปก็สามารถใช้รักษาแผลเป็นได้เช่นกัน ไม่เป็นอันตรายต่อปลาคาร์ป

ข้อควรระวัง : เป็นยาที่ใช้ภายนอกเท่านั้น เก็บในที่เย็น อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส พ้นจากแสงแดดส่องโดยตรง และเก็บยาให้พ้นจากมือเด็ก


เบตาดีน (Betadine)

เบตาดีน (Betadine) เป็นยาสามัญที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา และร้านสะดวกซื้อทั่วไป สามารถใช้ได้กับคนและสัตว์ ใช้ทารักษาแผลบนตัวปลา สามารถใส่ไปที่แผลโดยตรงได้เลย มีสารออกฤธิ์หลักคือโพวิโดนไอโอดีน (Povidone-Iodine) ซึ่งมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรคที่หลากหลาย เช่น แบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส จึงเหมาะสำหรับการรักษาแผลภายนอกของปลา ช่วยเร่งการสมานแผล ทำให้แผลฟื้นตัวเร็วขึ้น เหมาะกับการใช้เฉพาะจุด เช่นบาดแผลจากการบาดเจ็บ หรือ โรคแผลเปื่อย (Ulcer Disease) สามารถใช้ได้ทุกวันจนกว่าแผลจะหายดี

ข้อควรระวัง : เบตาดีนมีฤทธิ์สูง อาจจะทำให้ระคายเคืองหากใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไป ไม่ใช้ในบ่อรวมเพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อปลาตัวอื่นๆและจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ และควรหลีกเลี่ยงบริเวณตาหรือเหงือของปลา


Para – Cide

Para-Cide เป็นยาสูตรเข้มข้นสำหรับใช้ป้องกัน และกำจัดปรสิตที่เกาะอยู่บนตัวปลาคาร์ป เช่น เห็บปลา ปลิงใส หนอนสมอ รวมไปถึงโรคจุดขาว ถ้าปลาของท่านมีอาการกระโดด ปลาว่ายน้ำแฉลบ ปลาลอยหัว แสดงว่ากำลังมีปรสิตหรือเชื้อโรคต่างๆเกาะตัวอยู่ ก็สามารถใช้ยาชนิดนี้ได้เลย โดยวิธีใช้จะต้องชั่งตวงอย่างเหมาะสม 1 ml ต่อปริมาณน้ำในบ่อเลี้ยง 1 ตัน นำยาใส่ขวดเปล่าแล้วใส่น้ำเติมลงไปเพื่อลดความเข้มข้น จากนั้นเทใส่ในช่องกรองของบ่อปลา โดยแบ่งทีละน้อย ระยะเวลาห่างกันอย่างน้อย 30 นาที เมื่อครบ 24 ชั่วโมงให้เปลี่ยนน้ำ 20% สามารถใช้สำหรับการกักโรคปลา ก่อนลงปลาใหม่ได้อีกด้วย

อัตราส่วนที่แนะนำ : 1 (ml, g) ต่อปริมาตรน้ำ 1 (ลูกบาศก์เมตร, ตัน)

ข้อควรระวัง : ไม่ควรใช้เกินปริมาณที่แนะนำ หลีกเลี่ยงการใส่โดนตัวปลา ใส่บริเวณที่มีออกซิเจนเยอะ ๆ หรือในช่องกรอง เพื่อลดการสัมผัสโดยตรงกับตัวปลา


Bac – Stop

Bac-Stop ตัวยาสีน้ำเงินผลิตและพัฒนาสูตรโดยสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์น้ำ เหมาะสำหรับปลาคาร์ปและปลาสวยงามทั่วไป มีสรรพคุณป้องกันและกำจัดแบคทีเรีย แผลตามตัว ผื่นแดง แผลเน่า ตกเลือด และแผลติดเชื้อต่างๆ รวมถึงยังสามารถใช้ร่วมกับ Para-Cide ในช่วงกักโรคของปลาใหม่ที่จะลงบ่อได้อีกด้วย ผู้เลี้ยงหลายท่านมักจะนิยมใช้ เรียกว่าเป็นยาสามัญประจำตู้เลยก็ว่าได้เพราะรักษาได้อย่างรวดเร็วและได้ผลดี สามารถใช้ติดต่อกันได้ 7 – 14 วัน แนะนำให้เปลี่ยนน้ำวันละ 20-30% เพื่อลดค่าของเสียในช่วงการรักษา

อัตราส่วนที่แนะนำ : 50 (ml, g) ต่อปริมาตรน้ำ 1 (ลูกบาศก์เมตร, ตัน)

ข้อควรระวัง : ไม่ควรใช้เกินปริมาณที่แนะนำ ใส่บริเวณที่มีออกซิเจนเยอะ ๆ หรือในช่องกรอง เพื่อลดการสัมผัสโดยตรงกับตัวปลา


การใช้ยาประเภทต่าง ๆ แนะนำให้ผู้เลี้ยงแยกปลาที่ป่วยออกมาจากบ่อหลัก เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคไม่ให้ไปติดปลาคาร์ปตัวอื่น ๆ และประหยัดปริมาณยา ไม่กระทบปลาตัวอื่น ๆ แนะนำให้งดอาหารตลอดการรักษา เผื่อลดของเสียจากการขับถ่าย ซึ่งอาจจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน การรักษาอาจได้ผลช้ากว่าที่ควร การวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องก็มีความสำคัญในการเลือกยา เพราะจะได้รักษาอย่างตรงจุด และจะช่วยให้หายจากอาการป่วย มีสุขภาพแข็งแรง

วิธีกักโรคปลาคาร์ป กักกี่วัน ควรทำอะไรบ้างก่อนรวมปลา

การกักโรคปลาคาร์ป ก่อนที่จะปล่อยลงบ่อเลี้ยงถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก ๆ เพราะเป็นการป้องกันการแพร่กระจายของโรคที่อาจจะติดมากับปลาที่ได้มาใหม่ และเป็นการรักษาสุขภาพปลาคาร์ปด้วย โดยมีวิธีการกักโรคปลาคาร์ป ก็มีหลายวิธีแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม และปัจจัยในการเลี้ยงปลา โดยในบทความนี้เราจะแนะนำขั้นตอนการกักโรคปลาคาร์ปที่ถูกต้องและปลอดภัย ตามแบบฉบับของทางฟาร์มกันครับ

เหตุผลที่ต้องกักโรคปลาคาร์ป

  1. ป้องกันโรค : การกักโรคปลาคาร์ป ช่วยป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรีย, ไวรัส, โปรโตซัว, และเชื้อรา ซึ่งอาจทำให้ปลาคาร์ปป่วย และตายได้
  2. ลดความเสี่ยง : การกักโรคปลาคาร์ป ช่วยลดความเสี่ยงของโรคที่อาจเกิดขึ้นจากปลาตัวใหม่มาแพร่กระจายให้กับปลาตัวเก่าในบ่อเลี้ยง รวมทั้งลดความเสี่ยง ปลาเก่าในบ่อที่มีเชื้อโรคแล้ว จะแพร่กระจายให้จากปลาตัวใหม่ด้วย

อุปกรณ์ที่ใช้ในการกักโรคปลาคาร์ป

  • เครื่องเติมอากาศ (Air pump)
  • ท่อสายลมและข้อต่อ (Air tubes)
  • หัวทราย (Air stones)
  • ปั๊มน้ำ (Water pump)
  • ท่อน้ำและข้อต่อ (Water tube)
  • กรองฟองน้ำ (Pond filter)
  • ถังน้ำ ขนาด 1,000 ลิตร (Tank)
  • ตะข่าย (Pond cover net)

ยาที่ต้องใช้ในป้องกันและรักษาโรค

เลือกใช้ยาให้เหมาะสมกับอาการหรือโรคของปลา เป็นสิ่งสำคัญมาก โดยสามารถใช้ยา 3 ตัวนี้เป็นหลัก ได้แก่ Para-Cide, AntiBac หรือ Bac Stop และเกลือ

  • Para-Cide ช่วยกำจัดปรสิตภายนอก เช่น เห็บ ปลิงใส หนอนสมอ
  • AntiBac, Bac Stop ช่วยกำจัดแบคทีเรีย
  • เกลือ ช่วยป้องกันและลดความเครียด รวมถึงชะลออาการหรือโรคที่เกิดขึ้น

* ใช้ในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น มิเช่นนั้นอาจจะเกิดอันตรายต่อปลา

ขั้นตอนการกักโรคปลาคาร์ป

1. เตรียมสถานที่กัก

ต้องเตรียมสถานที่กักปลาคาร์ปอย่างเหมาะสม ไม่ควรคับแคบเกินไปจนทำให้ปลาเกิดความเครียด โดยจะแบ่งเป็น

บ่อหรือถังกักกัน

  • จัดเตรียมบ่อหรือถังที่แยกจากบ่อหลัก ใช้ถังที่มีขนาดพอเหมาะสำหรับปลาที่จะกักกัน อาจจะใช้บ่อผ้าใบหรือบ่อยางขนาด 1,000 ลิตร หรือ 1 ตัน (บ่อผ้าใบ 1.2m x 0.8m) ใส่น้ำที่ความสูง 0.7 m ใช้ถังกรอง 200 ลิตร
  • ติดตั้งระบบกรองน้ำที่มีประสิทธิภาพและอุปกรณ์เพิ่มออกซิเจน เช่น ปั๊มลมและหัวทราย

คุณภาพน้ำ

  • ใช้น้ำที่ปราศจากคลอรีนและสารเคมีอันตราย ค่า pH ควรอยู่ระหว่าง 6.5-8.5 และอุณหภูมิประมาณ 20-30 องศาเซลเซียส (ในกรณีใช้น้ำที่ไม่ผ่านเครื่องกรองคลอรีน ควรเตรียมน้ำพักไว้ในบ่ออย่างน้อย 1 วันพร้อมกับเปิดออกซิเจนไว้)
  • เติมเกลือที่ปราศจากไอโอดีน (เกลือสมุทร) ลงในบ่อกักด้วยความเข้มข้นประมาณ 0.3% (3 kg ต่อน้ำ 1,000 ลิตร) เกลือจะช่วยลดอาการเครียดของปลา ช่วยลดแบคทีเรียบางชนิดได้

2. การตรวจสอบและเตรียมปลา

ตรวจสุขภาพเบื้องต้น

3. การกักกันปลาคาร์ป

ระยะเวลากักกัน

  • กักกันปลาคาร์ปในบ่อกักกันเป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ ในระหว่างนั้นควรตรวจสุขภาพปลาตาม(ข้อ 2) ทุกวัน

การเปลี่ยนน้ำ

  • เปลี่ยนน้ำบางส่วน (20-30%) ทุกวันหรือทุกสองวัน เพื่อรักษาคุณภาพน้ำ
  • ใช้น้ำที่ปราศจากคลอรีนและสารเคมีอันตราย

4. การใช้ยาและการตรวจสุขภาพ

การใช้ยา

  • หากพบอาการผิดปกติ เช่น แผล จุดขาว ครีบขาด ควรใช้ยาตามคำแนะนำของสัตวแพทย์
  • อาจใช้ยาต้านแบคทีเรีย ยาป้องกันเชื้อรา หรือยาต้านปรสิตตามความจำเป็น

การตรวจเชื้อปรสิต

  • ใช้กล้องจุลทรรศน์เพื่อตรวจเชื้อปรสิต โดยเก็บตัวอย่างเมือกผิวปลาเพื่อตรวจสอบ
  • หากยังพบเชื้อปรสิต ให้ปรึกษาสัตวแพทย์

5. การรักษาความสะอาด

การทำความสะอาดบ่อกักกัน

  • ทำความสะอาดบ่อกักกันและอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงการสะสมของเชื้อโรค

การฆ่าเชื้ออุปกรณ์

  • ฆ่าเชื้ออุปกรณ์ที่ใช้ในการดูแลปลา เช่น ตาข่ายและถัง ด้วยสารฆ่าเชื้อโรคหรือการแช่ในน้ำร้อน

6. การปรับสภาพปลา ก่อนลงบ่อหลัก

การปรับสภาพปลากับน้ำ

  • ก่อนย้ายปลาจากบ่อกักกันไปยังบ่อหลัก ควรปรับสภาพปลาให้คุ้นเคยกับน้ำในบ่อหลักก่อน
  • โดยค่อย ๆ ผสมน้ำจากบ่อหลักลงในบ่อกักกันทีละน้อย โดยใช้เวลา 30-60 นาที

7. การย้ายปลาไปบ่อหลัก

ตรวจสุขภาพครั้งสุดท้าย

  • ตรวจสุขภาพปลาครั้งสุดท้ายก่อนย้าย หากปลามีสุขภาพดีและไม่มีอาการผิดปกติ สามารถย้ายไปยังบ่อหลักได้

8. การป้องกันโรคในอนาคต

การกักกันปลาใหม่ทุกครั้ง

  • ทุกครั้งที่นำปลาคาร์ปใหม่เข้ามา ควรทำการกักกันตามขั้นตอนนี้เสมอ

การตรวจสุขภาพเป็นประจำ

  • ตรวจสุขภาพปลาในบ่อหลักอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจหาสัญญาณของโรคและดำเนินการป้องกันทันที

สูตรกักโรคปลาคาร์ปของฟาร์ม Koikoito Fish Farm

* แต่ละฟาร์มอาจมีความแตกต่างกัน สูตรนี้เป็นเพียงการนำเสนอวิธีที่ทางฟาร์มใช้อยู่


การรักษาปลาคาร์ปที่ป่วย

หากปลาคาร์ปเกิดอาการป่วยหลังจากการรวมปลาแล้ว ให้เปลี่ยนถ่ายน้ำออกบางส่วน ประมาณ 20-30% ของบ่อ แล้วเติมน้ำใหม่ในปริมาตรเท่าเดิม เพื่อลดปริมาณของแอมโนเนีย และไนเตรตออกจากระบบ สังเกตอาการปลา คุณภาพน้ำ แล้วเลือกใช้ยาที่ถูกต้องตามอาการและปริมาณที่เหมาะสม โดยใช้ตามปริมาณที่แนะนำจากผู้เชี่ยวชาญหรือสัตวแพทย์เท่านั้น


การกักโรคปลาคาร์ปเป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันโรคและรักษาสุขภาพปลาคาร์ป โดยไม่ควรมองข้ามขั้นตอนเหล่านี้เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของโรคที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างรวมปลาหรือในการเลี้ยงในระยะยาว

หากมีข้อสงสัยหรือต้องการคำแนะนำสามารถสอบถามได้ที่ LINE ID : @koikoito